“อาการท้องผูก” นับเป็นเรื่องใกล้ตัวของคนทุกเพศทุกวัย สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความไม่มีวินัยในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร พฤติกรรมอั้นอุจจาระ รวมถึงการอ่านหนังสือ หรือนั่งเล่นสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานขณะขับถ่าย ปัจจัยเหล่านี้ ล้วนส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อระบบขับถ่าย กระทั่งกลายเป็นอาการท้องผูกเรื้อรังในที่สุด
วันนี้เราลองมาฟังคำแนะนำ จาก “นพ.สุขประเสริฐ จุฑากอเกียรติ” อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาลเวชธานี อธิบายถึงปัญหา พร้อมวีธีดูแลรักษาสุขภาพจากสภาวะอาการดังกล่าว ว่า ภาวะท้องผูก คือการไม่ขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์ แต่สามารถกลับมาขับถ่ายตามปกติได้ในระยะเวลาอันสั้น เมื่อเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่าย ส่วนภาวะท้องผูกเรื้องรัง มักหาสาเหตุไม่พบ แม้ปรับพฤติกรรมแล้วแต่ยังคงขับถ่ายลำบาก และต้องพึ่งพายาระบายเพื่อช่วยในการขับถ่ายอยู่เสมอ
ทั้งนี้ 3 สาเหตุหลักของภาวะท้องผูกเรื้อรัง ได้แก่ 1.โรคทางกาย หรือการใช้ยา ทำให้การทำงานของลำไส้ช้าลง 2.ลำไส้แปรปรวน มักมีอาการปวดท้อง และท้องอืดร่วมด้วย และ 3.ปัญหาในการเบ่งถ่าย มักเป็นผลมาจากพฤติกรรมอั้นอุจจาระ และการขับถ่ายไม่เป็นเวลา
คุณหมอ อธิบายต่อว่า แม้ว่าภาวะท้องผูกเรื้องรัง จะไม่ส่งผลร้ายแรงต่อชีวิต แต่รบกวนคุณภาพการใช้ชีวิต และส่งผลให้เกิดปัญหาท้องอืด หรือถ่ายอุจจาระมีเลือดปนร่วมด้วย อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องตามมา เช่น ริดสีดวงทวารหนัก เป็นต้น สำหรับการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ กรณีที่เป็นลำไส้แปรปรวน แพทย์จะสั่งจ่ายยาเพื่อปรับการทำงานของลำไส้ให้ดีขึ้น แต่หากเกิดจากปัญหาในการเบ่งถ่าย แพทย์จะแนะนำการแก้ไขที่ต้นเหตุ ซึ่งก็คือการฝึกเบ่งถ่ายอุจจาระ หรือที่เรียกว่า Biofeedback กับเครื่อง Manometry โดยผู้ป่วยจะสามารถเห็นได้ว่า ต้องเบ่งอุจจาระอย่างไร เพื่อให้หูรูดทวารเปิด ซึ่งถือเป็นการรักษาอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องผ่าตัด
ทั้งนี้ คุณหมออยากแนะนำในส่วนแนวทางป้องกันท้องผูก ด้วยหลัก 3 อ. ดังนี้ 1. อ. อาหาร รับประทานอาหารที่มีกากใย และดื่มน้ำอย่างเพียงพอ 2. อ. อุปนิสัย ฝึกขับถ่ายเป็นเวลา และไม่อั้นอุจจาระ และ 3. อ. ออกกำลังกาย เพื่อส่งเสริมให้กล้ามเนื้อลำไส้ทำงานปกติ