สำหรับใครที่พยายามลดน้ำหนักมาหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการอดอาหาร ออกกำลังกายหนัก หรือแม้แต่ลองใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่าง ๆ แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่เป็นอย่างที่หวัง ปัญหา “โรคอ้วน” อาจไม่ได้เกิดจากความพยายามไม่เพียงพอเสมอไป แต่อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางร่างกาย ฮอร์โมน หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ต้องได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี วันนี้เรามี 5 แนวทางรักษาโรคอ้วนอย่างได้ผล ที่สามารถช่วยให้คุณกลับมามีรูปร่างดี สุขภาพแข็งแรง และลดความเสี่ยงจากโรคแทรกซ้อนได้จริง
1. ปรับพฤติกรรมการกินอย่างยั่งยืน (Behavioral Modification)
การเริ่มต้นจาก “พฤติกรรมการกิน” เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคอ้วน เพราะหลายคนมักลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารหรือทานน้อยเกินไป ซึ่งอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและเกิดภาวะโยโย่ได้ในภายหลัง
แนวทางที่ถูกต้องคือ
กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นโปรตีนและผักเป็นหลัก
ลดอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันทรานส์ เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม ของทอด
แบ่งอาหารเป็นมื้อย่อย 4-5 มื้อต่อวัน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความหิว
ดื่มน้ำมาก ๆ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน ระบบเผาผลาญจะทำงานได้ดีขึ้น และช่วยลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืนโดยไม่ต้องทรมาน
2. ออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง
อีกหนึ่งแนวทางการรักษาโรคอ้วนที่สำคัญคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเผาผลาญไขมันส่วนเกินและเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ โดยควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะกับร่างกาย เช่น
เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อยวันละ 30 นาที
เสริมเวทเทรนนิ่ง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญระยะยาว
สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักมาก ควรเริ่มจากการออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำ เช่น เดินในน้ำ หรือโยคะ
การออกกำลังกายควบคู่กับการควบคุมอาหาร จะช่วยลดน้ำหนักได้มีประสิทธิภาพและปลอดภัยกว่าการพึ่งวิธีลัดเพียงอย่างเดียว
3. ใช้ยาในการลดน้ำหนักภายใต้การดูแลของแพทย์
ในบางกรณีที่น้ำหนักตัวเกินมากหรือมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ “ยาลดน้ำหนัก” เพื่อช่วยควบคุมความอยากอาหารหรือเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย
ปัจจุบันมียาลดน้ำหนักหลายชนิดที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เช่น
ยาที่ช่วยยับยั้งการดูดซึมไขมันในลำไส้
ยาที่ช่วยลดความอยากอาหาร
ยาที่กระตุ้นระบบเผาผลาญ
อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคอ้วนด้วยการใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงและให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาว
4. ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร (Intragastric Balloon)
สำหรับผู้ที่พยายามลดน้ำหนักด้วยวิธีทั่วไปแล้วไม่ได้ผล หรือมี BMI สูงกว่า 27 การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารถือเป็นอีกทางเลือกที่ได้รับความนิยม เพราะเป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด แต่ช่วยควบคุมปริมาณอาหารได้อย่างเห็นผล
แพทย์จะสอดบอลลูนซิลิโคนเข้าไปในกระเพาะอาหารผ่านกล้องส่อง แล้วเติมน้ำเกลือให้ขยายตัว บอลลูนจะช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นและรับประทานอาหารได้น้อยลง วิธีนี้ใช้เวลาเพียง 20–30 นาที สามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียว เหมาะกับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นปรับพฤติกรรมการกินและลดน้ำหนักอย่างปลอดภัย
5. ผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร (Bariatric Surgery)
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะโรคอ้วนขั้นรุนแรง (BMI มากกว่า 35) หรือมีโรคแทรกซ้อน เช่น เบาหวาน ความดันสูง การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารอาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาโรคอ้วนระยะยาว
วิธีผ่าตัดมีหลายแบบ เช่น
Sleeve Gastrectomy (ตัดกระเพาะส่วนหนึ่งออก)
Gastric Bypass (เชื่อมต่อกระเพาะอาหารกับลำไส้ใหม่)
การผ่าตัดเหล่านี้ช่วยให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และปรับสมดุลฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความหิว ซึ่งช่วยลดน้ำหนักได้อย่างถาวร แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
การรักษาโรคอ้วนให้ได้ผล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “วิธีที่เร็วที่สุด” แต่ขึ้นอยู่กับ “วิธีที่เหมาะกับร่างกายและปลอดภัยที่สุด” การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อประเมินสาเหตุของโรคอ้วนและเลือกรูปแบบการรักษาที่เหมาะสม ถือเป็นก้าวสำคัญของการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงสุขภาพอย่างยั่งยืน