"ป้อม-ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา" ซีอีโอ บริษัท สต็อคทูมอร์โรว จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านเว็บไซต์ (www.stock2morrow. com) การลงทุน สัมมนา ประชาสัมพันธ์ และสำนักพิมพ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่าง ดีในกลุ่มของนักลงทุน

ป้อมได้เล่าถึงความเป็นมา ก่อนที่จะหลงเสน่ห์ของตลาดหุ้นว่า ผมเรียนจบวิศวกร ในช่วงที่ตลาดขาดวิศวกร พอดี ช่วงนั้นเป็นช่วงก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง หลังจากเรียนจบก็ได้เข้าทำ งานเลย ในช่วงปีแรกของการทำงาน ด้วยความที่ทำงานหนัก มันก็มีรีเทิร์นกลับมาสูง ในตอนนั้น อุตสาหกรรมการก่อสร้างกำลังบูมมาก โบนัสปีหนึ่ง 6-7 เดือน ซึ่งทำให้ผมมีเงินเก็บ

จนถึงวิกฤติต้มยำกุ้ง มีเหตุที่ต้องย้ายไปอยู่ฝ่ายจัดซื้อ ได้ทำงานเป็นเวลามากขึ้น ในช่วงนั้นดอกเบี้ยเงินฝากก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ผมต้องมาคิดทบทวน แผนชีวิตของตัวเองใหม่ เพราะตั้งเป้าเกษียณก่อนอายุ 55 ปี แต่ถ้าด้วยดอกเบี้ยเงินฝากที่น้อยลงแบบนี้ คงต้องทำงาน ถึงเกษียณ

ด้วยความที่ตอนนั้นมีทางเลือกไม่มากนัก และผมเป็นคนที่สามารถรับความ เสี่ยงได้เยอะ ผมจึงเลือกที่จะลงทุนในหุ้น และก็เริ่มศึกษามาตั้งแต่ตอนนั้น ในช่วงแรกรู้สึกว่าประสบความสำเร็จเร็วมาก แต่มันเป็นเหมือนคำสาปของตลาดหุ้น ที่เมื่อเข้ามาใหม่ๆ คนส่วนใหญ่มักจะมีกำไร ซึ่งผมในตอนนั้นถือว่ามีประสบการณ์น้อยมาก เวลาก็น้อยเพราะต้องทำงานประจำ ประกอบกับเลือกลงทุนในลักษณะเดย์เทรด ซื้อเช้าขายเย็น ทำให้ถึงแม้ว่าจะมีกำไรในช่วงแรก แต่เมื่อรวมทั้งปีแล้วก็ขาดทุนไปเป็นล้าน

ผมกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง พบว่าผมควรจะต้องลงทุนระยะยาวขึ้น คือแทนที่จะต้องไปบีบการลงทุนให้เหมือน การพนัน ซื้อเช้าต้องขายเย็น ก็ขยับขึ้นมาเป็น 3-6 เดือน ลงทุนในหุ้นตัวเล็กๆ ที่ยังไม่มีใครสนใจ หุ้นที่มีโอกาสพลิกฟื้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าซื้อตัวไหนก็ได้ ก็ต้องดูว่าหุ้นตัวนี้ ต้องมีแนวโน้ม มีปัจจัยที่จะขับเคลื่อนราคาให้ไปต่อได้ พอเปลี่ยนแผนแล้ว จากเงินก้อนที่เหลือมันก็โตขึ้นมา ผมก็เอาก้อนที่เป็นกำไรกลับมาใส่อีกตัวหนึ่ง ผมลงทุนมาเรื่อยๆ พร้อมกับทำงานประจำ จนถึงพอปี 2009 ผมก็รีไทร์ตัวเองจากงานประจำ มาเป็นนักลงทุนเต็มตัว พร้อมกับเปิดเว็บไซต์ S2M เพราะมุ่งหวังที่จะให้ข้อมูลที่ดี และสร้างสังคมที่ดีให้แก่นักลงทุน ซึ่งทุกวันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก

ปัจจุบัน พอร์ตของผมโตขึ้น มีกระแสเงินสดที่สามารถดึงออกมาได้ ผมเห็นโอกาสที่จะสามารถต่อยอดได้ก็คือการลงทุนในบริษัทใหม่ๆ หมายถึง ถ้าผมเห็นศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่เริ่มทำบริษัท แต่อาจจะขาดในเรื่องของเงินทุน ขาดในเรื่องของคำแนะนำบางอย่างจากคนที่มีประสบการณ์ ผมก็ไปร่วมทุน ซึ่งถ้าถามว่า ทำไมไม่ไปซื้อหุ้นในตลาด ทำไมต้องมาลงทุนกับบริษัทใหม่ๆ ที่ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก ผมมองว่า ตลาดหุ้นเองผมก็ชอบหุ้นตัวเล็กอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไปซื้อหุ้นในตลาด ราคาต้องมีส่วนที่มันแพงขึ้นมาแล้ว ถ้าเราลงทุนในบริษัทใหม่ๆ นอก จากเป็นการช่วยสังคม ช่วยคนรุ่นใหม่แล้ว การเข้าไปถือหุ้นในจุดเริ่มต้นเลย แล้วบริษัทนั้นประสบความสำเร็จ มันคุ้มกว่าไปซื้อหุ้นในตลาดอีก ในมุมของผมไม่ได้มองว่า นักลงทุนจะต้องไปซื้อหุ้นในตลาดหุ้นอย่างเดียว ผมยินดีที่จะลงทุนกับคนรุ่นใหม่ หรือบริษัทที่มีความเติบโต อนาคตจะเข้าตลาดหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง แต่เราพร้อมที่จะไปลงทุนให้

ก่อนจบการสนทนาป้อมได้บอกเคล็ดลับในการลงทุนว่า การลงทุนในตลาดหุ้น กลยุทธ์การลงทุนของแต่ละคนมันไม่เคยซ้ำ ใครลงทุนแบบนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว วันนี้จะใช้วิธีเดิม คงไม่ได้ ทุกปีจะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ไปตามสถานการณ์ของตลาด ตามสถานการณ์ของตัวเอง อย่างผมเอง ด้วยพอร์ตการลงทุนที่โตขึ้น ผมก็ไม่สามารถที่จะไปซื้อหุ้นในขนาดเดิม ในจำนวนเดิมได้แล้ว อาจจะต้องเปลี่ยนประเภทของหุ้น อาจจะต้องเพิ่มจำนวนหุ้น ซื้อหุ้นแต่ละตัวในจำนวนที่น้อยลง คือทุกอย่างมันต้องปรับเปลี่ยนไป แต่ยังไงก็คงอยู่ในตลาดหุ้นไปเรื่อยๆ เพียงแต่รูปแบบ ประเภทของหุ้นก็จะเปลี่ยนไป อาจจะต้องไปมองที่หุ้นปันผลมากขึ้น

เคล็ดลับส่วนตัวของผมคือ ต้องอึด คือลงทุนในหุ้นมันต้องมีความพร้อม มีความเข้าใจ แล้วก็มีความอดทน อย่าไปหวังว่าลงทุนแล้วจะได้กำไรเลย ต้องอดทน กับการทำการบ้าน หาข้อมูล แต่ไม่ใช่อดทนกับการไปซื้อหุ้นปั่น ถ้าเรารู้ว่าหุ้นที่เราซื้อมันเป็นหุ้นที่ดี แต่วันนี้ราคาหุ้นมันไม่ได้สะท้อนกับพื้นฐาน เราก็ถือมันไป ไม่ช้าก็เร็วราคาหุ้นกับพื้นฐานมันจะต้องมาเจอกัน

นอกจากนี้ ต้องหาจุดได้เปรียบของตัวเอง นักลงทุนแต่ละคนก็จะมีจุดได้เปรียบของตัวเอง อย่าไปมัวแต่มองว่า เราเป็นรายย่อย มีพอร์ตขนาดเล็ก เสียเปรียบรายใหญ่ จริงๆ แล้ว รายย่อย ยิ่งเล็กมีข้อได้เปรียบทั้งเรื่องความคล่องตัวกว่า เลือกหุ้นได้มากประเภทกว่า ซื้อขายก็ไม่กระทบราคาหุ้น จะเข้าจะออกเมื่อไหร่ก็สบาย เมื่อความรู้ความเข้าใจ มาพร้อมกับข้อได้เปรียบของตัวเองแล้ว โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นก็ยิ่งมีมากขึ้น