ลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น "วาทิน วงศ์สุรไกร" ทายาทโรงเส้นหมี่ชอเฮง ผลิตแป้งส่งขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ มากว่า 40 ปี กลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ใน แวดวงการตลาด เพียงก้าวแรกก็ถือว่าน่าจับตามองแล้ว เพราะเปิดตัวแป้งทาตัว "ไร้ซแคร์" ซึ่งผลิตจากแป้งข้าวที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เพราะไม่มีส่วนผสมของทัลคัม ตอบโจทย์การตลาด และสอดรับกับช่องว่างทางธุรกิจ เนื่องจาก แป้งทาตัวในตลาดส่วนใหญ่มีส่วนผสมของทัลคัม
วาทินเล่าให้ "สยามธุรกิจ" ฟังว่า ตนเป็นบุตรคนสุดท้องในพี่น้อง 3 คน ด้วยความที่บ้านเป็นโรงเส้นหมี่ ทำมาตั้งแต่สมัยเหล่ากง ทำให้ชีวิตคลุกคลีกับแวดวงธุรกิจ และซึมซับการทำธุรกิจไปโดยปริยาย โดยในช่วงของคุณพ่อได้พัฒนาเป็นโรงงานขนาดใหญ่ เพราะมีลูกค้ากว่า 30 ประเทศทั่วโลก
ก่อนที่จะกลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัว และเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท เนเชอร์แคร์ จำกัด ได้ออกเดินทาง ไปฝึกฝนเพื่อเป็นนักกอล์ฟอาชีพที่ประเทศ ออสเตรเลีย เป็นเวลาเกือบ 2 ปี เทิร์นโปร ได้ออกเดินทางไปแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ ชนะเลิศการแข่งขัน 2 รายการ เนื่องจากมีความฝันที่จะเป็นนักกอล์ฟอาชีพ
"จะว่าไปในชีวิตก็คลุกคลีอยู่กับแวดวงธุรกิจมาโดยตลอด ทั้งจากการช่วยงานของครอบครัว หรือกระทั่งในรั้วมหาวิทยาลัย โดยสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี บริหารธุรกิจ สาขาการตลาด จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หากเส้นทางธุรกิจกลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป"
โจทย์หรือความท้าทายแรกคือ การปรับเปลี่ยนความคิด และพฤติกรรมการใช้แป้งของคนไทย จากที่เคยคิดว่าแป้งทาตัวใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้ มาเป็นใช้แป้งทาตัวต้องยี่ห้อไรซ์แคร์ เพราะมีคุณสมบัติ ที่ดี และปลอดภัยกว่า เนื่องจากไม่มีส่วนผสม ของทัลคัม
การบุกเบิกตลาดในช่วงแรกจึงเป็นเรื่องยาก แต่ในที่สุดเมื่อมีบทความตีแผ่ถึง อันตรายจากแป้งทาตัว โดยเฉพาะแป้งเด็กที่ส่วนใหญ่มีสารทัลคัม ที่อาจเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจและรังไข่ในผู้หญิง ประกอบกับสถิติในช่วงที่ผ่านมาพบเด็กป่วยเป็นโรคภูมิแพ้กันมาก ทำให้ตนมั่นใจ และเริ่มมองเห็นว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้น่าจะเดินไปทางไหน
"ต้องยกเครดิตให้คุณพ่อ คือ ดร. วราทัศน์ วงศ์สุรไกร ในวิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้าเสมอ ตอนเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศ แล้วพบว่าในหลายประเทศที่พัฒนาแล้วมีการรณรงค์ให้เลือกใช้แป้งทาตัวที่ผลิตจากสารอินทรีย์ เนื่องจากไม่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ เพราะสามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ โดยที่นั่นเลือกใช้แป้งข้าวโพด ขณะที่เมืองไทยยังไม่มีผู้ผลิตแป้งทาตัวที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ จึงได้คิดค้นและพัฒนาแป้งตัวนี้ขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ ประกอบกับพื้นฐานธุรกิจเดิมของเราเป็นโรงงานผลิตแป้ง"
ดังนั้น จึงคิดกันว่าในเมืองไทยปลูกข้าวได้ปีละมากๆ และข้าวของเราก็เป็นข้าวชั้นดีที่ต่างประเทศให้การเชื่อถือยอมรับ ในเมื่อข้าวเป็นของที่กินได้ ทำไมจะเป็นของใช้ไม่ได้ จึงเป็นที่มาของการคิดค้นนวัตกรรมแป้งทาตัวที่ผลิตจากแป้ง ข้าวเจ้า จนกระทั่งได้รับรางวัลสุดยอดนวัตกรรมแห่งชาติปี 2549 ตอนนี้เทรนด์การใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเป็นที่นิยม เราต้องให้เวลาผู้บริโภคปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรม เป้าหมายทาง การตลาดจึงไม่ใช่แค่สั้นๆ มองยาว 3-5 ปี
นอกจากนี้ ยังเตรียมเพิ่มไลน์สินค้า ใหม่ๆ ที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า อาทิ แป้งพัฟ ทาหน้า และแป้งเย็น หรือแม้กระทั่งใครที่สนใจจะนำแป้งไปทำเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ หรือกระทั่งแป้งทาตัวเหมือนกัน ทางบริษัทก็ยินดีจัดจำหน่ายด้วย เพราะตนมองว่าคีย์ซัคเซสในการทำธุรกิจ คือ สินค้า ต้องดีและมีคุณภาพจริง จึงจะมีการบอกปากต่อปาก และในอนาคตถ้ามีคู่แข่งเกิดขึ้นใหม่ ก็มองเป็นเรื่องดี
อนาคตอยากทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และดีใจมากที่ธุรกิจของตัวเองมีส่วนช่วยเหลือสังคม ทั้งเรื่องการพัฒนาวัตถุดิบข้าวในประเทศ ทำให้เกิดเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มมูลค่า และสร้างรายได้ อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดโทษกับคนทั่วไปอีกด้วย