จีนยกไทยปึ้กสุดในอาเซียน ส่ง 700 นักธุรกิจผนึกลงทุนหวังฟื้นเศรษฐกิจ 2 ประเทศ

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จีนยกไทยปึ้กสุดในอาเซียน ส่ง 700 นักธุรกิจผนึกลงทุนหวังฟื้นเศรษฐกิจ 2 ประเทศ


นายอู๋ จื้อ อี้ (WU ZHIYI)นายกสมาคมการค้าและการลงทุนเอเซียน-สากล (AITIA)กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของจีนปัจจุบันยังคงมีปัญหา เนื่องจากทางรัฐบาลมีการปรับโครงสร้างการพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ ในเชิงนวัตกรรม แต่โดยรวมๆ แล้วก็ยังถือว่าเศรษฐกิจยังพอไปได้ แต่ไม่ถึงกับดีมากนัก โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าเศรษฐกิจจีนปี 2016 จะเติบโตร้อยละ 6.5-7.0 และคาดการณ์ว่ามูลค่าการค้ารวมระหว่างประเทศ ปี 2016 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ2.7 โดยมูลค่าการนำเข้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 และการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9  พร้อมพฤติกรรมการบริโภคของชาวจีนยุคใหม่มีความเป็นสากลมากขึ้น โดยจะนิยมใช้ระบบออนไลน์เป็นสื่อกลางสำคัญในการซื้อสินค้าแทนการเดินทางไปที่ร้านค้า และคาดการณ์ว่าในปี 2016 มูลค่าการขายสินค้าออนไลน์ของจีนจะสูงถึง 4 ล้านล้านหยวน  ซึ่งขณะนี้ทางรัฐบาลจีนได้ทำการสนับสนุนองค์การหรือบริษัทในประเทศให้เดินทางไปลงทุนนอกประเทศมากขึ้น และเนื่องจากความสัมพันธไมตรีระหว่างไทยและจีนที่มีระยะเวลามาอย่างยาวนาน พร้อมกับประเทศจีนมีความเชื่อมั่นในประเทศไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นสินค้า ราคาที่ติดคำว่า Made In Thailand หรือเอกลักษณ์ วัฒนธรรมของประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางฐานเศรษฐกิจถ้าเทียบกับประเทศในแถบ AEC  แล้ว ทางจีนเองจึงเกิดความมั่นใจที่จะมาร่วมการค้ากับไทย

                ล่าสุด ทางสมาคมการค้าและการลงทุนเอเซียน-สากล จึงได้ร่วมมือกับภาครัฐในสาธารณรัฐประชาชนจีน และสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของมณฑลต่างๆ เพื่อเจรจาการค้า จับคู่ธุรกิจ และสานสัมพันธภาพไทย-จีน โดยจะมีการจัดงาน ‘‘มหกรรมแสดงสินค้ามาตรฐานไทยและจีนส่งออก ครั้งที่6’’ ที่ผ่านมาซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รวมสินค้าอุปโภคบริโภคคุณภาพส่งออกจากโรงงานผลิตของไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนกว่า 1,000 รายการ มากกว่า 300 บริษัท ซึ่งจะมีคณะนักธุรกิจและชาวจีนกว่า 700 รายมาเจรจาการค้า จับคู่ธุรกิจ คาดจะมีรายได้สะพัดในงานกว่า 500 ล้านบาท และต่อยอดการค้าระหว่างประเทศ 3,000 ล้านบาท จากการชูจุดเด่นของสินค้าระหว่าง  2 ประเทศ ได้แก่ จีนเน้นสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง เครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้าง และไทยเน้นสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหาร โดยในการจับมือการค้าร่วมกันนี้จะมีแนวโน้มการเพิ่มจำนวนการนำเข้า-ส่งออกสินค้าระหว่างไทยกับจีน ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางรายได้เข้าประเทศ และยังสามารถคาดการณ์ในอนาคตได้ว่าจะมีพัฒนาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

                “สำหรับการทำการค้าระหว่างประเทศจะมีตัวแทนจำหน่าย เมื่อคนไทยส่งสินค้าเข้าประเทศจีน คนไทยจะไม่จำหน่ายเองแต่จีนจะเป็นตัวแทนจำหน่ายให้ จะนำสินค้าเข้าไปขายในห้างสรรพสินค้า เช่น WUMEI เป็นบริษัทที่ขึ้นในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศจีน ซึ่ง WUMEI ได้เข้ามาซื้อสินค้าไทยในการจัดนิทรรศการครั้งนี้ด้วย”

        นายกสมาคม AITIAกล่าวต่อว่า ในปีที่ผ่านมายอดการค้าระหว่างประเทศไทยและจีนอยู่ที่ 472,100,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ คาดว่ายอดการค้าในปี 2020 จะมียอดจำนวนเงิน 1 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสามารถเห็นได้ว่าช่องว่างทางการค้ายังห่างกันค่อนข้างเยอะ ภายใต้นโยบาย 1 แถบ 1 เส้นทาง (onebeitoneroad)โดยมี Silk RoadEconomic Belt (การเชื่อมโยงทางบก) เป็นการเชื่อมโยงประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเส้นทางสายไหมเดิม(อินเดีย เปอร์เชีย ทวีปยุโรป และคาบสมุทรอาหรับ) ผ่านเอเชียกลาง เอเชียตะวันตก เอเชียใต้ อาเซียน ตะวันออกกลาง ยุโรป และ Maritime Silk Road (การเชื่อมโยงทางทะเล) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ รวมถึงด้านการลงทุน ระหว่างจีนกับประเทศในแถบภูมิภาคมหาสมุทร ได้แก่ อาเซียน โอเชียเนีย แอฟริกาเหนือ แปซิฟิก รวมถึงมหาสมุทรอินเดีย

               อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มในการนำเข้า ส่งออก ระหว่างไทยและจีน มีแนวโน้มพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยและประเทศจีนจะไม่ค่อยดีนัก โดยตัวเลขในการนำเข้า ส่งออกเดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคมในปีนี้ จากสถิติประเทศไทยการค้าส่งออกระหว่างไทย จีน อยู่ที่ 36,100,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ และจากสถิติของประเทศจีนในปีที่แล้ว (2015) ยอดนำเข้า ส่งออกระหว่างไทย จีน อยู่ที่มากกว่า 60,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยแนวโน้มการนำเข้า ส่งออก ของประเทศไทยและประเทศจีนมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี

               ทางประเทศจีนมีความมั่นใจมากในการเข้ามามาร่วมการค้ากับไทย และพร้อมดันสินค้ามาตรฐานไทยยึดห้างดังของแดนมังกรซึ่งแบ่งจำพวกสินค้าออกเป็นดังนี้ 1.ผลไม้ 2.เกษตร 3.อาหารแปรรูป 4.ข้าวหอมมะลิ 5.ยางพารา 6.หมอนยางพารา และในส่วนของประเทศไทยก็จะนำสินค้าของจีนเข้ามาจำหน่ายเพื่อ เป็นการแลกเปลี่ยนโดยแบ่งจำพวกสินค้าออกเป็น ดังนี้ 1.สินค้าอุตสาหกรรม 2.เครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ 3.เสื้อผ้า และเครื่องแต่งกาย โดยการร่วมมือการค้ากันนี้จะเป็นการสนับสนุนประเทศไทยจะได้ประโยชน์ในเรื่องของ 1.ให้ประเทศไทยได้มีเงินมากขึ้น 2.ให้คนไทยมีงานทำมากขึ้น 3.ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นอีกด้วย

               ด้าน นางสาว หลุ่ย แซ่กั๊ว เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย วัน มอลล์ จำกัด  กล่าวว่า  ปัจจุบันการตลาดอี-คอมเมิร์ซ์ในประเทศจีนมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นเรื่อยๆการขยายตัวตลาดค้าปลีกออนไลน์ของจีนในขณะนี้มีมากกว่า 30% ต่อปีคนจีนซื้อขายผ่านทางอี-คอมเมิร์ซ 300 กว่าล้านคนจากการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคของนักช้อปชาวจีนพบว่าเเนวโน้มของการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นที่นิยมสูงมากอย่างต่อเนื่องอีกทั้งยังได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาลจีนจึงทำให้เรามองเห็นโอกาสที่จะนำสินค้าเเละเเบรนด์ไทยส่งออกไปยังตลาดจีน เราจึงเล็งเห็นช่องทางที่จะนำพาผู้ประกอบการทั้งสินค้าและบริการแบรนด์ไทยบุกตลาดจีนแบบเต็มสูบ โดยล่าสุดเราได้ทุ่มงบราว 30 ล้านบาททำการเปิดตัวเว็บไซต์ไทยวันมอลล์ www.thaionemall.com  ภายใต้สโลแกน“Thai E-commerce บริการซื่อสัตย์คัดสรรของดีส่งตรงไร้พรมเเดน” ถือเป็นช่องทางลัดที่จะนำพาผู้ประกอบการไทยได้บุกเบิกธุรกิจเเบบก้าวกระโดดสู่ตลาดจีน และเรายังได้รับการส่งเสริมและการสนับสนุนจาก บีโอไอ ในด้านการยกเว้นภาษี ภาระค่าใช้จ่าย พร้อมให้คำปรึกษาในการลงทุนอีกด้วย ซึ่งเราเป็นบริษัทแรกในประเทศไทยที่ได้รับการส่งเสริม โดยทางเราได้วางแผนกลยุทธ์ในการช่วยการวิเคราะห์สินค้า การทำการตลาดกับคู่ค้าให้เข้าใจไปในทางเดียวกันด้วย 4 หลักการในการเลือกสินค้าเข้าสู่เว็บไซต์ 1.มีความเป็นเป็นไทยเด่นชัด 2.ความโดดเด่นของสินค้าหรือจุดขายของสินค้า 3.คุณภาพต้องดีและได้มาตรฐาน 4.ตัวสินค้ามีโอกาสที่จะโตได้อีกในอนาคต โดยเรามีทีมงานฝ่ายคัดสรรสินค้าที่ดีสู่มือผู้บริโภค ปัจจุบันเรามีทีมงานที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีประมาณ 50 คนทั้งในไทยและจีน โดยเน้นการเข้าใจผู้บริโภคจีนเป็นอย่างดี เน้นการขายสินค้าแบบธุรกิจสู่ผู้บริโภค พร้อมการบริการอย่างคลอบคลุมถึงเรื่องโปรโมชั่น การส่งเสริมการตลาด และการบริการ ถือเป็นจุดเด่นที่เรามีแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด เน้นเจาะกลุ่มเมืองระดับ Tera2 ของจีนขึ้นไป พร้อมเราก็ยังให้บริการจำหน่ายสินค้าเเบบขายส่งด้วยเช่นกัน

                ทั้งนี้ ในส่วนของการชำระเงินนั้นเราจะใช้ระบบ R-Repay เพราะจะสามารถดึงลูกค้าจีนโดยกลุ่มลูกค้าเดิม 10,000-50,000 คนเเละคาดว่าจะเพิ่มฐานลูกค้าใหม่อีก 1 เท่าตัวในอนาคต โดยสำหรับรายได้นั้นไตรมาสเเรกของปี 2560 เราตั้งเป้าไว้ที่ 50 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้มาจากสินค้าและบริการ 50% อีก 50 % จะเป็นคอมมิสชั่น คอนไซน์เมนต์ ซึ่งเป้าหมายสำคัญของเราคือการพยายามที่จะสร้างให้เว็บไซต์ไทยวันมอลล์เปรียบเสมือนห้างบนไซเบอร์ที่จำหน่ายสินค้าเเละบริการของประเทศไทยให้ทั่วโลก ซึ่งเราเชื่อว่าอนาคตจะสามารถก้าวเป็นท็อปไฟว์ในธุรกิจนี้

                และเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ด้านนายนพพร สวัสดิ์ธนพิศุทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ไทยฟรุ๊ต 1975 จำกัด บริษัทดำเนินธุรกิจซื้อ-ขายผลไม้ ส่งออกประเทศจีน อาทิ ทุเรียน, มังคุด, ลำไย, มะม่วง, เสาวรส, อโวคาโด และอื่นๆ ตามฤดูกาล กล่าวว่า บริษัทร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท สยามกวางสีเทคโนโลยีการเกษตร จำกัด ประเทศจีน ในการประกอบธุรกิจประเภทนำเข้าส่งออกผลไม้จากประเทศไทย และมีการดำเนินธุรกิจในตลาดการค้าออนไลน์กับจีนมากว่า 4 ปีแล้ว  ซึ่งการจับมือร่วมธุรกิจระหว่างประเทศในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดียิ่งสำหรับทั้งชาวไทยและชาวจีน เราจะมีการนำเสนอและแนะนำผลไม้ไทยให้ทางลูกค้าในประเทศจีนได้เข้าใจและรู้คุณประโยชน์ของผลไม้ไทยที่มีมากมายให้เลือกสรร เพื่อการตัดสินใจและเลือกผลไม้คุณภาพจากประเทศไทย โดยมีแผนกลยุทธ์การตลาดในปี 2559 คือเราจะเป็นผู้นำของตลาดผลไม้สดออนไลน์ในประเทศจีน ในปีแรกเราตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ประมาณ 48 ล้านบาท

            “จีนถือเป็นตลาดใหญ่มีการแข่งขันที่สูงทั้งคุณภาพและยอดขาย โดยมีลูกค้าใช้บริการผ่านระบบออนไลน์ 150 ล้านคน/วัน ต่างจากตลาดออนไลน์ที่ใช้บริการ 4-5 ล้านคน/วัน ในส่วนของผลไม้สดนั้น ไทยฟรุ๊ต 1975 กับสยามกวางสีเทคโนฯ อยู่อันดับ 1 ใน 5 ของตลาดออนไลน์ประเทศจีน โดยไทยฟรุ๊ต 1975 เป็นบริษัทคนไทยรายแรกที่มีการจำหน่ายผลไม้ไทยผ่านตลาดออนไลน์ทีมอล แบบบีทูซี โดยมีสำนักงานที่ประเทศจีน เพื่องานด้านบรรจุภัณฑ์จัดส่งถึงมือลูกค้า เพราะมีการรับประกันสินค้า จัดส่งถึงมือผู้บริโภค โดยบริษัทจัดส่งสินค้าของประเทศจีน”

                ทั้งนี้ เทรนด์การซื้อสินค้าออนไลน์ของคนจีนบูมมาก แบ่งเป็นการสั่งผ่านมือถือ 80% ที่เหลืออีก 20% สั่งผ่านพีซี ยอดการสั่งซื้อมากถึงหมื่นชิ้น/วัน จากการทำตลาดลูกค้าส่วนใหญ่ที่สั่งซื้อสินค้าของเราพบว่า จะเลือกซื้อมะม่วงเป็นหลัก เพราะเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมมากและมีผลผลิตตลอดปี รองลงมา คือ ทุเรียน มังคุด ลองกอง และผลไม้ตามฤดูกาลอื่นๆ

------------------------

ภาพประกอบ  :  http://venturebeat.com/



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ