มองทิศทางหุ้นไทย จับตาเล็ก-กลางมาแรง

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559

มองทิศทางหุ้นไทย จับตาเล็ก-กลางมาแรง


โบรเกอร์ และ บลจ. มองทิศทางตลาดหุ้นไทยโค้งสุดท้ายปลายปี และปีหน้า LHFundชี้ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนในระยะยาว หลังค่า PE ในปีหน้าที่จะปรับลดลงเหลือ13.5 เท่า ขณะที่ บลจ.ทาลิส มองยาวปี2560ดัชนีมีลุ้นแตะ1,800ด้านบล.ทรีนีตี้ แนะจับตาหุ้นขนาดกลาง-เล็ก มาแรง หลังหุ้นขนาดใหญ่ขาดแรงหนุน ด้านบล.เคทีบี  ชี้มีปัจจัยทำตลาดผันผวน แต่ยังเป็นโอกาสลงทุน

          นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LHFundเปิดเผยว่า จากการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในปีนี้และปีหน้า คาดการณ์จะมีอัตราเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ 3-3.5% ในส่วนของภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นของไทยนั้น หากเป็นการลงทุนในระยะสั้นจะต้องเพิ่มความระมัดระวังในกรณีที่ดัชนีปรับขึ้นสูงกว่า 1,500 จุด ซึ่งจะส่งผลให้มีค่า PE (Price-Earnings Ratio) อยู่ที่ 15 เท่า อย่างไรก็ตาม หากเป็นการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจ จากค่า PE ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีหน้าที่จะปรับลดลงเหลือ 13.5 เท่า เนื่องจากคาดว่าในปี 2560 ตลาดหุ้นไทยจะมีอัตรากำไรต่อหุ้นเติบโตสูงถึง 12-15% ขณะที่บริษัทจดทะเบียนขนาดกลางและเล็กน่าจะมีกำไรต่อหุ้นเติบโตได้ 20-30%

         ขณะที่ นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปีในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,400-1,500 จุด แม้ในช่วงปลายปีมองว่าจะมีแรงซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เข้ามา แต่อาจจะไม่สามารถผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มากนัก เพราะบรรดากองทุนต่างๆ จะไม่นำเงินเข้ามาลงทุนทั้งหมด โดยจะกันเงินบางส่วนไว้รอรับแรงขาย LTF ซึ่งจะครบกำหนดในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ    อย่างไรก็ตาม ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2560 ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวทำจุดสูงสุดที่ 1,800 จุด เนื่องจากคาดว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนมีโอกาสทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 8.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้สูงถึง 7.8 แสนล้านบาท

ด้าน ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST เปิดเผยว่า ไตรมาสสุดท้ายของปี 2559 ยังคงมีปัจจัยให้ต้องติดตามไม่ว่าจะเป็นปัจจัยในประเทศด้านการเมือง และการปรับตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยต่างประเทศ เช่น การขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรปกับญี่ปุ่น           อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของไทยยังมีความแข็งแกร่ง ทั้งนี้มองว่าดัชนีสิ้นปีนี้ จะปิดที่ระดับ 1,580 จุด และในปี 2560 คาดว่ากรอบดัชนีจะอยู่ที่ 1,392-1,650 จุด โดยหุ้นที่ยังน่าลงทุน ได้แก่ กลุ่มอุปโภคบริโภค เช่น CPALL BJC และกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตจากการลงทุนของรัฐบาล เช่น  STEC เป็นต้น

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดทุนหุ้นไทยในช่วงหลังกลางเดือนตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา มีสถานการณ์ที่น่าสนใจจากการปรับตัวขึ้น (Outperform) ของราคาหุ้นกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ชนะกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่อย่างชัดเจน โดยหากนับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 จนถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2559 พบว่า SET Index ให้ผลตอบแทนแล้วกว่า 6.6% เมื่อเทียบกับ SET50 ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 4.7% เท่านั้น

ทั้งนี้คาดการณ์ว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กนี้มีโอกาสสูงที่จะปรับตัว Outperform ต่อไปอีกจนถึงช่วงต้นปีหน้า เนื่องจากหุ้นขนาดใหญ่จะเผชิญปัจจัยกดดันที่สำคัญ ได้แก่ ประมาณการกำไรของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีโอกาสถูกปรับลดจากแนวโน้มการตั้งสำรองฯที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง ขณะที่การไหลเข้าของกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund flow) มองว่าได้ผ่านจุดสูงสุดของปีนี้ไปแล้วในช่วงไตรมาส 3/2559 ที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังคาดการณ์ผลกระทบจากการไหลเข้าของเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ในช่วงปลายปีนี้ค่อนข้างจำกัด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้เน้นเข้าลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มี Upside จากระดับราคาปัจจุบัน ได้แก่ GL, JMT, COM7, JMART, ALT, INET,  PYLON, SEAFCO, TTCL, SCI, TPCH, ANAN และ RML  



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ