“TDAS” แย้มปีหน้าอุตสาหกรรมขายตรงยังแข่งเดือด ... กระแสโซเชียลยังไม่แผ่วดูดคนรุ่นใหม่เข้าสู่ธุรกิจ

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

“TDAS” แย้มปีหน้าอุตสาหกรรมขายตรงยังแข่งเดือด ... กระแสโซเชียลยังไม่แผ่วดูดคนรุ่นใหม่เข้าสู่ธุรกิจ


สมาคมการขายตรงไทย เผย ภาพรวมอุตสาหกรรมขายตรงสิ้นปีนี้ เติบโตลดลงเพียง 2-3% เหตุเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากำลังซื้อหด พร้อมการแข่งขันที่สูงในกลุ่มใหม่อย่าง สกินแคร์ และเครื่องสำอาง มาแรง  คาดการณ์ปีหน้า (61) ธุรกิจขายตรงยังคงแข่งเดือด ผลพวงยุคดิจิทัลออนไลน์ วิถีสร้างคอมมิวนิตี้ขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เข้าตลาด ส่งผลสร้างโอกาสให้ตลาดโตขึ้นอีก 1 เท่าตัว จาก 2% เป็น 4-5% ในปีหน้า

นางสุชาดา ธีรวชิรกุล นายกสมาคมการขายตรงไทย กล่าวว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจขายตรงทั่วโลกปี 2016  ที่ผ่านมา มีนักขายตรงทั่วโลกถึง 107 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.1% จากปี 2015 และมีมูลค่าตลาดรวมธุรกิจขายตรงทั่วโลกอยู่ที่ 182.6 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปี (ปี 2013 – 2016) อยู่ที่ 5.2% โดยภูมิภาคที่มีสัดส่วนยอดขายสูงสุดได้แก่ ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่มีสัดส่วนยอดขายถึง 46% และ 4 ใน 10 ประเทศที่มีสัดส่วนยอดขายสูงสุดอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาทิ จีนมีสัดส่วน 19% เกาหลี 9% ญี่ปุ่น 8% และมาเลเซีย 3% ส่วนภาพรวมธุรกิจขายตรงในอาเซียนมีสมาคมขายตรงใน 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์ โดยมาเลเซียเป็นตลาดใหญ่อันดับ  1 ในอาเซียน และเป็นอันดับ 8 ของโลก ส่วนไทยยังเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน สำหรับภูมิภาคอเมริกา มีสัดส่วนยอดขาย 33% โดยเติบโตเฉลี่ย 3 ปี อยู่ที่ 3.3%, ในขณะที่ภูมิภาคยุโรป มีสัดส่วนยอดขาย 20% เติบโตเฉลี่ย 3 ปี อยู่ที่ 4.9% และ แอฟริกา/ตะวันออกกลาง มีสัดส่วนยอดขาย 1% โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปี อยู่ที่ 6.0%

ล่าสุด สมาคมธุรกิจขายตรงไทย ได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมระดับโลก ดับเบิ้ลยูเอฟดีเอ 2020 เวิลด์ เกรส ครั้งที่ 16 ที่จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ช่วงปลายปี 63 โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประชุม 1,000 คน จากกลุ่มบริษัทผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงทั่วโลก ที่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์การขายตรงโลก ซึ่งคาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนกว่า 100 ล้านบาท

นายกสมาคมการขายตรงไทย กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมของตลาดขายตรงไทยในสิ้นปี 2017 ประมาณการที่ 95,000 ล้านบาท โดยเติบโตเพียง 2-3% จากปี 2016 เนื่องจากเศรษฐกิจที่เติบโตช้า ทำให้กำลังซื้อลดลงในบางกลุ่ม รวมทั้งการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ และเครื่องสำอาง เป็นสินค้าที่เกิดขึ้นใหม่ ตลอดเวลา ส่วนภาพรวมตลาดขายตรงในปีหน้าคาดว่าจะมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นทั้งจากบริษัทขายตรงด้วยกันเอง กลุ่มธุรกิจค้าปลีก และกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือออนไลน์ที่ช่วยดึงผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น ทำให้อุปสรรคการแข่งขันในแต่ละช่องทางหายไป โดยเน้นแข่งด้วยแข่งด้านคุณภาพสินค้า นวัตกรรม จุดยืนของแต่ละแบรนด์ที่ชัดเจน ซึ่งเห็นได้จากยอดขายบางบริษัทที่ปรับตัวสู่ออนไลน์ที่ผ่านมาเติบโตเพิ่ม 200-300% ทำให้คาดว่าจะเป็นโอกาสที่ผลักดันให้ภาพรวมตลาดปีหน้าเติบโตเพิ่มอีก 1 เท่าตัวที่ 4-5% หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท จากปี 60 เติบโต 2% มูลค่า 95,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ หลากหลายของสินค้าที่ครอบคลุมทุกประเภทยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ตลาดเติบโต โดยเฉพาะสินค้าเพื่อสุขภาพ-อาหารเสริมที่ขายดีเป็นอันดับ1 มีสัดส่วนมากถึง 30% ตามด้วยกลุ่มสกินแคร์ เครื่องสำอาง 28% และคนรุ่นใหม่มีความต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 25-35 ปี หรือกลุ่มมิลเลเนี่ยน (คนรุ่นใหม่) ซึ่งปัจจุบันธุรกิจขายตรงบางรายมีกลุ่มดังกล่าวสูงถึง 8-10% เพิ่มขึ้นจาก 3 ปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนไม่เกิน 4%

ขณะเดียวกันช่องทางขายตรงยังเป็นช่องทางที่ผู้ขายใกล้ชิดผู้บริโภค จึงทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวในยุคดิจิทัลได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเพื่อสุขภาพ ที่ห้ามโฆษณาสรรพคุณ แต่ยังอาศัยช่องทางสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์ อาทิ แอพพลิเคชั่นไลน์ เพื่อแนะนำสินค้าได้

จากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตช้าก็ยังเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อให้กำลังซื้อที่ลดลงในบางกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดล่างทำให้เติบโตได้ยาก ส่วนสินค้าในตลาดบนยังเติบโตได้ดี อีกทั้งมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะกลุ่มบำรุงผิวและเครื่องสำอาง ซึ่งมีสินค้าเกิดใหม่ตลอดเวลาเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้ธุรกิจขายตรงต้องปรับตัวสู่ออนไลน์ตามพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ส่วนธุรกิจที่เป็นลักษณะแชร์ลูกโซ่เริ่มกระทบกับขายตรงน้อยลงกว่าในอดีตเพราะคนเริ่มเข้าใจหลักการทำธุรกิจมากขึ้น

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ